แนวคิดสำคัญ

๑.       ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก

 

                ด้วยความรักที่พระนางมัทรีมีต่อกัณหาและชาลี  นางทุ่มเทกำลังกาย สติปัญญาที่นางมีเพื่อที่จะค้นหาจนหมดสิ้น ทั้งสิ้นเรี่ยวแรงและเสียงที่เรียกร้องหา ดังว่า

“สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง พระพักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้ำพระเนตร เธออโศกา จึ่งตรัสว่า โอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด…”

                “เมื่อแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่งแม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น โอ้พระลูกข้านี้จะไม่คืนเสียแล้วกระมังในครั้งนี้ กัณหาชาลีลูกรักแม่นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้วละหนใครจะกอดพระศอเสวยนมผทมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่เข้าที่บรรจถรณ์ เจ้าเคยเคียงเรียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี แต่นี้แม่จะกล่อมให้ใครนิทรา โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมายมั่น สำคัญว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนยากจะฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน มิรู้ว่าจะกลับวิบัติพลัดพรากไม่เป็นผลให้อาเพศผิดประมาณเจ้าเอาแต่ห่วงสงสารนี่หรือมาสวมคล้องให้แม่นี้ติดข้องอยู่ด้วยอาลัย เจ้าทิ้งชื่อและโฉมไว้ให้เปล่าอกในวิญญาณ์ เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่ายังได้เห็นหน้าเจ้าอยู่หลัดๆ ควรและหรือมาสลัดแม่นี้ไว้ เหมือนจะเตือนให้แม่นี้บรรลัยเสียจริงแล้ว”

พระนางมัทรีเที่ยวค้นหากัณหาและชาลีในป่าถึงสามรอบจนกระทั่งหมดกำลังและและสิ้นสติ แสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่นางมีต่อลูก

 

 

       

๒.     ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่

พระเวสสันดรทรงปรารถนาโพธิญาณต้องทรงบำเพ็ญทานบารมีซึ่งถือเป็นทานอันสูงส่ง พระองค์จำต้องตัดความอาลัยที่มีต่อกัณหาชาลีและพระนางมัทรีลง แม้ว่าในพระทัยของพระองค์นั้นจะเจ็บปวดและเป็นห่วงลูก จึงต้องอดทนแสร้งทำเป็นตัดพ้อคร่ำครวญต่อพระนางมัทรี

 

…(นนุ มทฺทิ) ดูกรนางนาฏ พระน้องรัก (ภทฺเท) เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มหลงละลายทุกข์ ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น  จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง (วราโรหา) พร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญโฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์ (ราชปุตฺตี) ประกอบไปด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออเมื่อเช้าจะเข้าป่าน่า สงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมัวมืดจึ่งกลับมา ทำเป็นบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริงๆ เหมือนวาจาก็จะรีบกลับมาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออ…นี่เที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธิ์วิทยาธรคนธรรพ์เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ หรือเจ้าปะผลไม้ประหลาดรสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็หลงอยู่จึงช้า…

 

๓.    ความซื่อสัตย์ของสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข

                พระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรมาก พระเวสสันดรแสร้งกล่าวบริภาษว่าพระนางลอบคบชายอื่นทำให้พระนางน้อยพระทัยแต่ก็ไม่ถือโกรธและยังได้ชี้แจงสาเหตุที่กลับมาช้า ดังว่า

               

…พระคุณเอ่ยจะคิดดูมั่งเป็นไรเล่า ว่ามัทรีนี้เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมา ดั่งเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกกว่านั้นที่แน่นอนคือนางไหนอันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างละหรือ ได้แต่มัทรีที่แสนดื้อผู้เดียวดอก ไม้รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี มัทรีสัตยาสวามิภักดิ์รักผัวเพียงบิดาก็ว่าได้ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรม (วนมูลผล หาริยา) อุตสาหะตระตรากตระตรำเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้ ถึงที่ไหนจะรกเรี้ยวก็ซอกซอนอุตส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลังจนเนื้อหนังข่วนขาดเป็นริ้วรอยโลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนาม อารามจะใคร่ได้ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูกบำรุงผัว ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่าหลากใจ อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสารสังเวชโปรดปรานีว่ามัทรีนี้เป็นเพื่อนยากอยู่จริงๆ ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิดเลย…

นอกจากนี้นางได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรแม้ว่าจะมีความทุกข์หมดอาลัยตายอยากในชีวิตที่ไม่พบกัณหาและชาลีก็ตาม ดังว่า

 

                …ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด บังคมทูลสามีก็มิได้ตรัสปรานีแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็ขังขึงตึงพระองค์ ดูเหมือนทรงพระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัยดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ยเมื่อแกจากไอศวรรย์มาอยู่ดงก็ปลงจิตมิได้คิดจิตเป็นสอง หวังว่าจะเป็นเกือกทองฉลองบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระคุณผัว กว่าจะ สิ้นบุญตัวตายตามไปเมืองผี อนิจจาเอ่ยวาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว พระทูลกระหม่อมแก้วจึ่งชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดั่งแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นแท้เที่ยง ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่เลวระร่างซากศพของมัทรี อันโทรมตายกลายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเป็นมั่นคงนี้แล้วแล…

 

๔.    ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี

พระเวสสันดรทรงมีปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีมาก เมื่อทรงเห็นว่าพระนางมัทรีมีความโศกเศร้าลูกทั้งสองที่หายไปจึงคิดเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ทุกข์โศกนั้นด้วยการทำเป็นตัดพ้อและหึงหวงนางที่กลับมาถึงอาศรมในเวลาค่ำ ถ้อยคำที่ตัดพ้อและตำหนิพระนางว่า มีมารยาแกล้งทำเป็นไม่อยากจากพระกุมาร ครั้นไปแล้วเที่ยวอ้อยอิ่งแสวงหาความสุขอยู่ในป่า เมื่อได้ฟังคำบริภาษของพระเวสสันดร ความทุกข์โศกของนางก็ลดหายไปทันที ดังที่กวีบรรยายว่า “ที่ความโศกก็เสื่อมสว่างสงบจิตเพราะเจ็บใจ” นับว่าพระเวสสันดรทรงมีสติปัญญาไหวพริบดี รู้วิธีที่จะดับทุกข์ของพระนางมัทรีและสามารถทำได้สำเร็จงดงามเมื่อนางสร่างโศกแล้ว พระเวสสันดรก็ทรงปลอบว่า

 

…อันสองกุมารนี้พี่ให้ไปเป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานแล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้โสมนัสศรัทธา ในทางอันก่อกฤดาภินิหารทานบารมี (ลจฺฉาม ปุตฺเต ชีวนฺตา) ถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตอยู่สืบไป อันสองกุมารนี้ไซร้ก็คงจะได้พบกันเป็นแม่นมั่น…

 

๕.   การบริจาคบุตรทานบารมีเป็นสิ่งที่ยากจะกระทำได้

                พระเวสสันดรได้บำเพ็ญบุตรทานบารมีเป็นสิ่งที่ยากที่จะกระทำได้แต่พระองค์มีน้ำพระทัยอันแน่วแน่ที่จะกระทำ พระนางมัทรีเมื่อทราบว่าพระเวสสันดรได้บำเพ็ญทานดังกล่าวนางก็อนุโมทนาด้วย ดังนี้

                …มัทรีเอ่ย อันอริยสัตบุรุษเห็นปานดั่งตัวพี่ฉะนี้ ถึงจะมีข้าวสักเท่าใดๆ (ทิสฺวา ยาจกมาคเต) ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ ไหว้วอนขอไม่ย่อท้อในทางทาน จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยังนกให้เป็นทานได้ อันสองกุมารนี้ไซร้เป็นทานพาหิรกะภายนอกไม่อิ่มหนำ พี่จะใคร่ให้อัชฌัติกทานอีกนะเจ้ามัทรี ถ้าแม้นมีบุคคลผู้ใดปรารถนาเนื้อหนังมังสังโลหิตดวงหทัยนัยน์เนตรทั้งซ้ายขวาพี่ก็จะแหวะผ่าให้เป็นทานไม่ย่อท้อถึงเพียงนี้ มัทรีเอ่ย …  จงศรัทธาด้วยช่วยอนุโมทนาทานในกาลบัดนี้เถิด…

สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า …พระพุทธเจ้าข้า แต่วันวานนี้เหตุไฉนจึงไม่แจ้ง ยุบลสารให้ทราบเกล้า ท้าวเธอจึ่งตรัสเล่าว่าพระน้องเอ่ย พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้ามาแต่ป่า ไกล ยังเหนื่อยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุกอก ด้วยสองดรุณทารกเป็นเพื่อนไร้เจ้ามัทรีเอ่ย…จงผ่องใสอย่าสอดแคล้ว อันสองพระลูกแก้วไปไกลเนตร พระนางจึ่งตรัสว่า พระพุทธเจ้าข้าอันสองกุมารนี้ เกล้ากระหม่อมฉานได้อุตส่าห์ถนอม ย่อมพยาบาลบำรุงมา ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมี ขอให้น้ำพระหฤทัยพระองค์จงผ่องแผ้ว อย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศล อย่ามาปะปนในน้ำพระทัยของพระองค์เลย ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ที่ไหนเลยแผ่นดินจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่านุสนธิ์มหัศจรรย์ อันมีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพกลับมาเล่าให้พระมัทรีฟังแต่ในกาลหนหลังนี้แล้วแล…

                (สา มทฺที) ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบสันดานมา (วราโรหา) ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี (ยสสฺสินี) มีเกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบนิ้วประนมน้อมพระเศียรเคารพทานท้าวเธอก็ชื่นบานบริสุทธิ์ด้วยปิยบุตรมิ่งมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศมนเทียรทุกหมู่ไม้ ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐ์ตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน ร้องสาธุการสรรเสริญเจริญทานบารมี ทั้งสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัยอันเป็นใหญ่ดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรยปรายทิพยบุปผากรอง ทั้งพวงแก้วและพวงทองก็โรยร่วง จากกลีบเมฆกระทำสักการบูชาแก่สมเด็จนางพระยามัทรี ท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนาทาน (เวสฺสนฺตรสฺส) แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษีผู้เป็นภัสดา (อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรน) ด้วยประการดังนี้แล้วแล…

ใส่ความเห็น